หลังจากที่เกิดเรื่องฮือฮาในวงการลูกหนังเมืองผู้ดีเมื่อ “บิ๊กแซม” แซม อัลลาไดซ์ กุนซือทีมชาติ อังกฤษ ได้ถูก เดลี่ เทเลกราฟ สื่อชื่อดังของประเทศ ส่งนักข่าวที่ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจจากตะวันออกกลางไปนัดรับประทานอาหารกับกุนซือวัย 61 ปี 2 ครั้ง เป็นเวลารวม 4 ชั่วโมง ที่ภัตตาคารในเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อนที่ “บิ๊กแซม” จะใช้ตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เรียกร้องเงิน 400,000 ปอนด์ (ประมาณ 19.2 ล้านบาท) เพื่อช่วยแหกกฏการโยกย้ายนักเตะ ขณะที่เจ้าตัวยินดีตอบแทนเงินจำนวนดังกล่าวด้วยการตกลงเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ และ มาเลเซีย ในฐานะฑูต ซึ่งหลังจากหารือกับ เอฟเอ แล้วนั้น อัลลาร์ไดซ์ ก็ตัดสินใจบอกลา อังกฤษ ด้วยความยินยอมร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งแน่นอน ทีมงานSBOBET เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันส่งผลเสียกับภาพลักษณ์ของวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างร้ายแรง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้สำหรับพวกเขาก็คือเรื่องที่ว่าใครควรจะมารับงานคุม อังกฤษ สำหรับการสู้ศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ที่กำลังจะโม่แข้งอยู่ ซึ่งในเวลานี้ต้องใช้ แกเรธ เซาต์เกธ กุนซือทีมชุดยู 21 เป็นกุนซือขัดตาทัพไปก่อน และนี่คือรายชื่อที่ว่ากันว่ามีลุ้นที่จะได้มาสวมหัวสิงโตคนใหม่
1.อลัน พาร์ดิว – หนึ่งในกุนซือที่เป็นตัวเต็งได้ลุ้นให้มาเป็นกุนซือทีมชาติอังกฤษคนใหม่ เหตุผลหนะเหรอไม่มีอะไรมาก เพราะเขาเป็นกุนซือชาวอังกฤษที่มีผลงานดีที่สุดในตอนนี้หนะสิ ในอาชีพคุมทีมนั้น พาร์ดิว มีดีกรีเป็นรองแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย (กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2005-06 และกับ คริสตัล พาเลซ ในซีซั่น 2015-16) แถมยังมีสไตล์ที่ถูกใจคอบอลอังกฤษหลายคน ก็ต้องดูว่าหากมาคุมทีมชาติอังกฤษจริงจะเป็นอย่างไร
2.เอ็ดดี ฮาว – รายนี้ทีมงานSBOBET จำได้ว่าเดิมทีคาดว่า อาร์เซนอล จะแต่งตั้งคุมทัพต่อจาก อาร์แซน เวนเกอร์ เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับฤดูกาลนี้ 2016-17 ที่รูดม่านปิดฉาก อย่างไรก็ตาม อังกฤษ อาจะกระชากตัวมาจาก บอร์นมัธ ก่อนกำหนด โดยถือเป็นกุนซือหนุ่มที่น่าจับตามองวัยแค่ 38 ปี โดยปีที่แล้วพาทีมรอดตกชั้นจากเวที พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ด้วยการจบที่ 16
3. เคลาดิโอ รานิเอรี – ประสบการณ์ของ รานิเอรี ไม่ต้องพูดถึงคุมมาหมดแล้วสโมสรน้อยใหญ่ โดยเคยกุมบังเหียนทีมชาติแค่ครั้งเดียวคือ กรีซ ก่อนที่ปีที่แล้วจะนำ เลสเตอร์ ซิตี สร้างเซอร์ไพรส์เป็นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ประวัติศาสตร์ ดังนั้น ทีมงานSBOBET คิดว่านี่คือคนที่รู้จักและเข้าใจใช้งานนักเตะอังกฤษเป็นอย่างดี
4.โรแบร์โต มันชินี – มันชินี่ เคยคุม ฟิออเรนตินา, ลาซิโอ, อินเตอร์ มิลาน, แมนเชสเตอร์ ซิตี และ กาลาตาซาราย ก่อนแยกทางกับ “งูใหญ่” เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยมีผลงานเคยพา “เรือใบสีฟ้า” คว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 1 สมัย รวมถึงพัวพันกับอีกหลายสโมสร ซึ่งตอนนี้ว่างงานอยู่เรียกได้ว่าติดต่อมาปุ๊บก็พร้อมทันที
5. สตีฟ บรูซ – บรูซ คือเกือบจะได้เข้ามาคุมทีมชาติอังกฤษแล้ว แต่สุดท้าย เป็น อัลลาร์ไดซ์ ที่ได้คุมแทนทำให้ บรูซ มีชะตากรรมตรงกันข้าม เพราะต้องแยกทางกับ ฮัลล์ หลังมีเรื่องบาดหมางกับกลุ่มผู้บริหาร และว่างงานนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งด้วยความที่ตำแหน่งนายใหญ่ของ อังกฤษ ว่างลงอีกครั้ง ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขา จะเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้รับการแต่งตั้งให้รับงานต่อจาก อัลลาร์ไดซ์ แต่ข้อด้อยของ บรูซ ก็คือเขาไม่เคยคุมทีมใหญ่เลย และที่จริงแล้วเจ้าตัวก็ไม่เคยได้แชมป์แบบเป็นชิ้นเป็นอัน ใกล้เคียงสุดคือการเป็นรองแชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2013-14 แถมหลายคนยังจำเขาได้ดีจากการพาทีมตกชั้นบ่อยพอๆ กับการเลื่อนชั้นด้วย ซึ่งทำให้เป็นเครื่องหมายคำถามว่า เขาฝีมือถึงพอจะคุมทีมชาติอังกฤษหรือไม่
6. แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ เกือบแล้วเกือบอีกสำหรับกุนซือเจ้าของฉายา จ่าเฉย ก่อนที่สุดท้ายจะโดน รอย ฮ็อดจ์สัน ปาดหน้าคว้าชิ้นปลามันไปแบบสุดช็อก เรดแน็ปป์ นั้นมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะคุมทีมชาติอังกฤษ และดีกรีก็ไม่ธรรมดา ในการคุมสโมสรในพรีเมียร์ลีก หลายทีม แต่ข้อเสียของ เร้ดแน็ปป์ คือการที่เขาเป็นคนหัวดื้อพอตัว และว่ากันว่านั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ เอฟเอ มองข้ามเขา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบอร์ดบริหารชุดใหม่ของ เอฟเอ จะมีแนวคิดแบบเดียวกับกลุ่มผู้บริหารชุดเก่ารึเปล่า
7. เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ – แม้สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ จะไม่ค่อยมองกุนซือต่างชาติซักเท่าไหร่ แต่อดีตยอดดาวเตะชาวเยอรมนี ผู้เคยมาโลดแล่นในลีกอังกฤษ กับ สเปอร์ส มาแล้วก็เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้คุม อังกฤษ เช่นเดียวกับ อัลลาร์ไดซ์ และ บรูซ จากผลงานที่ทำให้ สหรัฐอเมริกา พัฒนาจนกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งทีมหนึ่ง ทำให้มีข่าวว่า เอฟเอ สนใจที่จะเอาเขามาชุบชีวิต “สิงโตคำราม” เหมือนกัน
8. แกเร็ธ เซาธ์เกต – หลังจากคุมทีมชาติอังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี มานานหลายต่อหลายปี และเวลานี้ เซาธ์เกต ก็ได้รับมอบหมายให้คุมทีมชุดใหญ่ชั่วคราวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม การทำงานกับทีมชุดใหญ่มันย่อมต่างกันเยอะ และนั่นทำให้หลายคนมองว่า เซาธ์เกต ยังไม่เหมาะสมสำหรับภารกิจอันหนักอึ้งนี้ แต่สุดท้ายหากเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองก็เชื่อว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ และนี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญอีกครั้งของเขา เพราะนอกจากจะต้องทำผลงานให้ดีแล้ว พวกเขายังอยากให้ทีมชาติกลับมามีภาพลักษณ์ที่ดูดีด้วย ซึ่งหากทำสำเร็จ ทีมงานSBOBET ก็เชื่อว่า อดีตปราการหลังทีมชาติอังกฤษ รายนี้ก็มีลุ้นได้คุมทีมแบบยาวๆเหมือนกัน